บาคาร่าออนไลน์ (Baccarat online)
บาคาร่าออนไลน์ (Baccarat online)
หลายคนอาจจะสงสัยว่า บาคาร่าออนไลน์ (Baccarat Online) คืออะไร เล่นยังไง วันนี้ทางเรา จะมาอธิบายความหมายของบาคาร่า ให้ได้ทราบกันค่ะ หลายคนอาจจะเคยได้ยินผ่านหู หรือได้พบเห็นผ่านตากันมาบ้าง แต่ก็ยังอาจจะไม่ทราบว่ามันคืออะไร บาคาร่า นั้นก็คือ การเล่นไพ่ชนิดนึง ซึ่งมีมานานมากแล้ว ลักษณะการเล่นก็จะคล้ายกับการเล่นไพ่ของบ้านเรานั้นแหละค่ะ แต่ถูกนำมาปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต ที่สามารถเล่นได้ทั้งในคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุค หรือ แม้กระทั่งเล่นผ่านโทรศัพท์มือถือได้
สำหรับ คาสิโนออนไลน์ แล้วนั้น
ก็จัดเป็นเกมส์ที่ฮิตมากๆเกมส์นึงเลย ที่คนนิยมให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก รูปแบบของเกมส์ก็จะเป็นการถ่ายทอดสดจากสถานที่จริง พร้อมกับมีดีลเลอร์สาวสวยมาคอยแจกไพ่ให้ท่าน นั้นเอง
วิธีการเล่น บาคาร่าออนไลน์
จะเป็นไปในลักษณะของการแจกไพ่ฝ่ายละ 2-3 ใบ เพื่อนับผลรวมของแต้ม ผู้ที่ได้ผลรวมของแต้มมากกว่า ดีกว่า แต่ไม่เกิน 9 ก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะ แต่หากเสมอกันคือแต้มเท่ากัน ก็จะมีการเรียกไพ่ใบที่สาม เพื่อนับผลรวมแล้วก็วัดผลแพ้-ชนะ กันอีกที แต่ทั้งนี้ที่ดูจะต่างจากการเล่นไพ่ป๊อกของบ้านเราก็คือ จะมีการเปิดให้เดิมพันทายฝั่งที่ชนะ หรือ ทายผลเสมอได้ ผู้ที่ทายถูก ก็จะได้รับผลตอบแทนตามที่ได้ลงเดิมพัน ก็ถือได้ว่าเป็นเกมส์เดิมพันที่นิยมเล่นกันในคาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งก็มีหลายประเทศที่นิยมเล่นไพ่ชนิดนี้กันใน คาสิโน
ขั้นแรกของการเล่นเกม บาคาร่า ก็คือ การตัดสินใจว่าเราจะลงเงินเดิมพันที่ฝั่งไหน เพราะเราจะมีอยู่สองผู้เล่น คนหนึ่งจะเป็น Banker (เจ้ามือ) หรือฝั่งสีแดง ส่วนอีกคนเป็น Player (ผู้เล่น) หรือฝั่งสีน้ำเงิน อย่าไปสับสนกับคำว่าเจ้ามือ เพราะ เจ้ามือที่ว่าเป็นแค่ ชื่อตัวแทน ที่ใคร ๆ ก็สามารถไปเดิมพันกับเขาได้ บางทีผู้เล่นที่มีประสบการณ์มาก ๆ แล้วก็จะแนะนำให้ลงเงินกับเจ้ามือมากกว่า แทนที่จะลงกับผู้เล่น เพื่อให้มีโอกาสชนะมากกว่า และยังเสียเปรียบน้อยกว่าด้วย
ก่อนที่จะมาเรียนรู้การเล่น เราต้องเข้าใจก่อนว่าไพ่จะทำหน้าที่อะไรในเกมนี้ จุดมุ่งหมายสูงสุดของเกมก็คือการได้ไพ่ที่มีแต้มสูงกว่า โดยจะคิดเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับ 9 มากที่สุด เพราะ 10 และพวกไพ่ J, Q, K จะถือว่ามีค่าเท่ากับ 0 ทั้งหมด ส่วน A หรือเอซ จะคิดเป็น 1
อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดไพ่สองใบแรกมีค่ามากกว่า 10 แล้ว แต้มของไพ่จะถูกนับแค่หลักหน่วยเท่านั้น อย่างเช่น ถ้าผู้เล่นได้ 7 กับ 5 เราจะถือว่าแต้มรวมเท่ากับ 2 ไม่ใช่ 12
เพื่อเริ่มต้น ผู้เล่นจะต้องลงเงินเดิมพันในฝั่งใดฝั่งนึงระหว่างฝั่งเจ้ามือ (Banker) และฝั่งผู้เล่น (Player) หรือเลือกแต้มเสมอ (Tie)
จากนั้นดีลเลอร์ก็จะเปิดไพ่หงายมา 1 ใบให้กับฝ่ายผู้เล่น และจากนั้นก็ให้กับฝ่ายเจ้ามือ และ อีก 1 ใบให้กับฝ่ายผู้เล่น และจากนั้นก็ให้กับฝ่ายเจ้ามือ รวมเป็นฝ่ายละ 2 ใบ
ถ้าผู้เล่นฝ่ายใดมีแต้มรวมเป็น 8 หรือ 9 ก็จะถือว่าชนะเลยโดยไม่ต้องเปิดไพ่ต่อ ก็จะถือว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ชนะไป แต่ถ้าหากผู้เล่นมีไพ่ต่ำกว่า 5 แต้มก็จะต้องจั่วไพ่เพิ่มอีก 1
กติกาในการจั่วไพ่ของฝั่งผู้เล่น (Player)
หากเปิดไพ่ 2 ใบ แต้มที่ได้ก็คือ:
0, 1, 2, 3, 4, 5………………… จั่วเอาไพ่ใบที่สาม
6, 7……………………………… ไม่จั่ว
8, 9……………………………… ไม่จั่ว
มาถึงคราวของเจ้ามือกัน หากฝ่ายผู้เล่นอยู่ที่ 6-7 แต้ม และไม่ได้จั่วไพ่ใบที่สามเพิ่ม การเล่นของฝ่ายเจ้ามือก็ไม่ยุ่งยากนัก คือเจ้ามือต้องจั่วไพ่เพิ่มหากได้แต้ม 0, 1, 2, 3, 4, 5 และถ้าหากเจ้ามือมีแต้ม 6 หรือ 7 แล้ว ก็ไม่ต้องจั่วไพ่ใบที่ 3
กติกาในการจั่วไพ่ของฝั่งเจ้ามือ (Banker)
ถ้าหากฝ่ายผู้เล่นได้แต้ม 6-7 แล้วไพ่ 2 ใบในฝั่งเจ้ามือ มีแต้มคือ:
0, 1, 2, 3, 4, 5………………… จั่วเอาไพ่ใบที่สาม
6, 7……………………………… ไม่จั่ว
8, 9……………………………… ไม่จั่ว
กรณีที่ Banker (เจ้ามือ) มีแต้ม 4-5 แต้ม แต่ผู้เล่น (Player) จั่วไพ่ครบ 3 ใบแล้วแต่มีแต้มสู้ไม่ได้ กรณีนี้ Banker (เจ้ามือ) จะไม่ต้องจั่วไพ่ใบที่ 3 นี่คือความได้เปรียบของฝั่ง Banker (เจ้ามือ) ทำให้ส่วนใหญ่จะมีการหักเงินน้ำ 5% (หรือแทง 100 ได้ 95) ในกรณีที่เราเล่นเดิมพันฝั่ง Banker (เจ้ามือ)
ในการเดิมพันนั้นนอกเหนือจากการเดิมพันฝั่งเจ้ามือ (Banker) และฝั่งผู้เล่น (Player) และเลือกแต้มเสมอ (Tie) ยังมีการเดิมพันแบบอื่น ๆ อีกแล้วแต่ แต่ละคาสิโน อย่างเช่นการเดิมพันไพ่คู่ (Pair) เป็นต้น
หนึ่งในสิ่งที่เราต้องให้ความสนใจก่อนจะเล่นเกมนี้ คือ เราจะต้องเช็คให้ดีก่อนว่า เราเล่นแบบไพ่สำรับเดียวหรือหลายสำรับ เพราะความได้เปรียบเสียเปรียบของทั้งฝั่งผู้เล่นและฝั่งเจ้ามือจะแตกต่างกันออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น